เป็นประจำในช่วงต้นเดือนธันวาคมที่อากาศเริ่มจะเย็นลง มวลความสุขของหลาย ๆ คนก็เริ่มจะปรับตามสภาพอากาศไปด้วย และแน่นอนว่าเมื่อเดือนธันวาคมมาถึง สายออกแบบ คนรักงานศิลปะจะต้องเฝ้ารอการปรากฎตัวของอีเวนต์เจ้าประจำที่จัดกันมาต่อเนื่องเป็นปีที่ 11
พอเกริ่นมาแบบนี้หลาย ๆ คนน่าจะคุ้นหูคุ้นตาเป็นอย่างดีกับ CHIANG MAI DESIGN WEEK เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ที่ทาง CEA สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ร่วมกับจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับศิลปิน นักสร้างสรรค์ ชุมชน และเครือข่ายกลุ่มครีเอทีฟทั้งในและต่างประเทศ กว่า 166 คน จาก 15 ประเทศ นำความคิดสร้างสรรค์และไอเดียใหม่ ๆ มาให้เราทุกคนได้ใกล้ชิดมากขึ้น
สำหรับ CHIANG MAI DESIGN WEEK 2025 มาในคอนเซปต์ Local Plus ที่นำเครื่องหมายการรวมพลังทั้งบวก ลบ คูณ หาร และอินฟินิตี้ มาบอกเล่าถึงการรวมพลังคนสร้างสรรค์ จากทั้งคนในพื้นที่ให้ได้มาทำงานร่วมกัน พร้อมชวนศิลปินนานาชาติมาแสดงพลังความสร้างสรรค์และจัดแสดงรวมกันกว่า 150 กิจกรรมอยู่ในพื้นที่ตัวเมืองเชียงใหม่ กลางเวียง ช้างม่อย ท่าแพ สันป่าข่อยและอีกเพียบ
วันนี้ GROUNDCONTROL เลยจะขออาสาเป็นไกด์ พาทุกคนไปแอ่วเชียงใหม่ชมงานดีไซน์ ผ่านมุมมองของศิลปิน นักสร้างสรรค์แต่คน โดยเราจะแบ่งการชมงานเป็นสถานที่เพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่าแต่ละพิกัดมีงานอะไรน่าสนใจบ้าง ถ้าพร้อมแล้วตามไปแอ่วกันได้เลยเจ้า
📍หอประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่
เริ่มกันที่หอประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่ในบรรยากาศสุดร่มรื่น สถานที่สำคัญของเมืองเชียงใหม่ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากหอกลางเวียงและหอพื้นถิ่นล้านนา บริเวณกลางสนามหญ้าและตัวอาคารจะมีทั้งนิทรรศการ เวิร์กช็อป และงานจัดแสดงให้เราดูกว่า 10 โปรแกรม แต่ที่เราอยากจะขอแนะนำให้ทุกคนได้มาเดิมชมก็คืองาน SEN (เส้น) ที่เรียกได้ว่าโดนเส้นเรามาก และเราเชื่อว่าวัยรุ่นปวดหลังทั้งหลายน่าจะถูกใจพอกัน
SEN เป็นนิทรรศการเล็ก ๆ ของ Camille Fauchier และ Djoo Cuer สองศิลปินชาวฝรั่งเศสที่นำเสนอความเจ็บปวดและสิ่งที่ขัดขวางการไหลเวียนของลม แปลเป็นความหมายของเส้นสายผ่านงานศิลปะนั่นคือเทคนิคการพิมพ์แบบแกะไม้ ภาพที่เห็นก็จะเป็นภาพอิริยาบถของการนวดที่เห็นได้ตามทั่วไป ซึ่งการนวดที่ศิลปินสนใจก็คือการนวดแผนไทยและการตอกเส้นนั่นเอง
ต่อมาในโปรแกรมที่สองที่อยากจะพามาดูคือ CRAFTed of Taste ของสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ที่ร่วมกับ CEA และ TCDC Chiang Mai ชวนศิลปินเซรามิกชาวฝรั่งเศสและศิลปินไทยมาจัดแสดงงานเซรามิกเพื่อถ่ายทอดให้เห็นการตีความด้านหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน ซึ่งแต่ละงานก็ถ่ายทอดสไตล์ที่โดดเด่นของตัวเองได้อย่างน่าสนใจมาก ๆ แนะนำว่าใครแวะไปที่นี่ให้ลองเข้าไปดูดีเทลการออกแบบภาชนะถ้วยชามให้ดี รายละเอียดเขาเยอะมาก
📍หอกลางเวียง
ภายในอาคารเก่าแก่ของหอกลางเวียงมีการจัดแสดงงานอยู่ตามห้องจัดแสดง สำหรับนิทรรศการที่เราอยากจะแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักก็คือ นิทรรศการของกลุ่มนักสร้างสรรค์จากไต้หวันที่นำเสนอการแสดงแบบอินเทอร์แอคทีฟกับ ‘Taiหวาน Beats’ นิทรรศการที่ถ่ายทอดวัฒนธรรมดนตรีอินดี้ไต้หวันมาสู่จังหวัดเชียงใหม่ ผ่านการออกแบบโปสเตอร์ หนังสือทำมือ วิดีโออาร์ตมาให้ผู้ชมได้สัมผัสโลกของดนตรีไต้หวัน เชื่อมโยงเข้าไปถึงความทรงจำและวัฒนธรรมป็อปภายใต้บริบทของความร่วมสมัย
ห้องต่อมาเป็นงานของ Will Langston ช่างภาพจากนิวยอร์กที่คลุกคลีกับเชียงใหม่เกือบสิบปี การจัดแสดงครั้งนี้วิลนำผลภาพถ่ายพอร์ตเทรตของตัวเองมาจัดแสดงในชื่อรอยยิ้มเปล่งประกาย ซึ่งเป็นภาพที่เขาบันทึกจะเป็นการถ่ายทอดรอยยิ้มของผู้คนในเมืองเชียงใหม่ โดยใช้เวลาทำงานโปรเจกต์นี้กว่า 5 ปี ด้วยกล้องฟิล์ม 35 มม. ผู้ชมจะได้เห็นทั้งรอยยิ้มของผู้คนแต่ละอาชีพผ่านเลนส์กล้องของวิลในหลากหลายบริบท
ในขณะที่ห้องอื่น ๆ ภายในหอกลางเวียงก็มีกิจกรรม นิทรรศการ และสิ่งที่น่าสนใจรอบหอกลางเวียงอีกเพียบ แนะนำว่าให้เผื่อเวลากันสัก 1-2 ชั่วโมง เพื่อที่จะได้มีเวลาได้ซึมซับกับบรรยากาศและสำรวจมุมมองของงานแต่ละชิ้นจะได้ไม่พลาดเลยสักมุม
📍หอพื้นถิ่นล้านนา
สายงานคราฟต์ งานอาร์ต และดนตรีมาปักหมุดกันที่นี่ได้เลย เพราะหอพื้นถิ่นล้านนาแห่งนี้คือพื้นที่ที่รวบรวมของน่ารักมาให้เลือกช้อปเพียบ ไม่ว่าจะเป็นร้านเซรามิกจาก KOON & Friends, งานเครื่องประดับที่นำมา Upcycling เศษแก้ว จาน ชาม เซรามิกที่แตกมาชุบชีวิตจากร้าน The Good Made, ร้าน Love stones undying แบรนด์เสื้อผ้าที่คัดเอาวัสดุธรรมชาติอย่างดอกไม้ ใบไม้มาพิมพ์ลงบนเสื้อผ้า, dots.story ที่ถ่ายทอดงานปักด้ายได้อย่างสวยงาม
นอกจากร้านค้าที่มีให้เลือกช้อปกันแล้ว ยังมีกิจกรรมเวิร์กช็อปของจิ๋วจาก Tiny room studio และ Thrutothought_bar X Pratabjai_painting ที่จะพาไปสำรวจโทนสีและสัมผัสของหินแต่ละสถานที่ และสอนให้รู้จักวิธีการบดหินเหมือนเป็นการเชื่อมโยงตัวเองกันธรรมชาติ โดยเวิร์กช็อปแต่ละแบรนด์จะเปิดรับผู้เข้าร่วมตามวันและเวลาที่กำหนดนะ สามารถเข้าไปเช็กตารางกิจกรรมได้ที่เว็บไซต์ CHIANG MAI DESIGN WEEK ได้เลย
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ก่อนกลับบ้านขอชวนทุกคนแวะมาชมการแสดง ดนตรี และม่วนจอยไปกับกิจกรรมบนเวทีที่หอพื้นถิ่นล้านนาได้ตั้งแต่ 16.00 - 22.00 น. เลย
📍TCDC
ใครจะไปเชื่อว่ากลิ่นจะสร้างความทรงจำและเปลี่ยนอารมณ์ได้ขนาดนี้ นี่คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจากที่เราได้มาสัมผัสใน The Sense of the Local - Collective Scents นิทรรศการสุดตลบอบอวลของกลิ่นจากกลุ่มนักทำน้ำหอมของไทย ซึ่งแต่ละกลิ่นที่นำมาจัดแสดงเป็นการใช้วัสดุในท้องที่และสิ่งที่ไม่ได้ใช้แล้วในทางเกษตรมาแปรเป็นกลิ่นหอมที่บอกเล่าเรื่องราวและเชื่อมโยงกับอารมณ์ต่าง ๆ
The Sense of the Local - Collective Scents ยังพาเราไปทำความรู้จักกับกลิ่นของวัตถุดิบ สมุนไพรที่นอกจากจะให้กลิ่นหอมแล้วยังถือเป็นการช่วยบำบัดไปในตัวด้วย
📍S.V. Furniture
S.V. Furniture จากโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ปิดกิจการไปแล้วถูกนำมาชุบชีวิตใหม่ด้วยการจัดแสดงนิทรรศการ LOCAL PLUS ของงาน CHIANG MAI DESIGN WEEK 2025 เป็นครั้งแรก ที่นี่นำเสนองานของนักสร้างสรรค์รวม 30 กว่าแบรนด์ แต่ละแบรนด์ถูกคัดเลือกมาจากการเปิดรับสมัครเข้ามา มีทั้งนักออบแบบชาวไทยและต่างชาติ
โดยที่นิทรรศการ LOCAL PLUS จะเน้นไปที่การส่งเสริมงานท้องถิ่นและนักสร้างสรรค์ในภาคเหนือ มีทั้งกลุ่มศิลปิน ดีไซเนอร์ ช่างฝีมือ นอกจากนี้ยังมีศิลปินอาร์ตทอยจากน้อง ๆ นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่มาจัดแสดงผลงานที่นี่ด้วย บอกเลยว่าที่นี่มีทั้งงานศิลปะ งานออกแบบ และงานฝีมือให้ได้เดินชมกันแบบจัดเต็มแน่นอน
📍Red Dog Gallery
มารู้จักภาคเหนือให้มากขึ้นผ่านนิทรรศการผ้าจาก 3 ดีไซเนอร์จังหวัดเชียงใหม่และ 1 ดีไซเนอร์จังหวัดแพร่ ได้แก่ KANZ, {JUN}, Longgoy และ Feel Youth ที่ร่วมกันถ่ายทอดวัฒนธรรมเหนือผ่านงานแฟชั่น ภายในคอนเซปต์ ‘โชคลาภ’ ซึ่งโชคลาภที่ว่าสามารถตีความออกมาเป็นเรื่องของ ‘ความโชคดี’ และอีกความหมายหนึ่งคือเมนูอาหารพื้นถิ่นของชาวเหนือซึ่งก็คือ ‘ลาบ’ นั่นเอง
โดยการแสดงจัดถูกจัดใน Red Dog Gallery แบ่งเป็น 4 ชั้น ชั้นแรกจะชวนผู้ชมไปรู้จักกับกลุ่มดีไซเนอร์ที่มาร่วมทำโปรเจกต์นี้ด้วยกัน ขยับขึ้นมาชั้นที่สองแต่ละแบรนด์หยิบแรงบันดาลใจของงานมาจากหม้อดอกล้านนา (ปูรณฆฏะ) ที่สื่อถึงความสุข สงบ และอุดมสมบูรณ์ โดยจะเป็นการนำลวดลายผ้ามาออกแบบใหม่เพื่อสื่อถึงความร่วมสมัยและอยากให้เป็นแฟชั่นที่สามารถสวมใส่และใช้ได้ทุกวัน
ชั้นที่สามจะเป็นการจัดแสดงแฟชั่นเสื้อผ้าของทั้งสี่แบรนด์รวมกัน ให้ความรู้สึกเหมือนเดินเข้ามาชมวัฒนธรรมและประเพณีของภาคเหนือผ่านการจัดวางที่เข้ากันได้อย่างน่าสนใจมาก ๆ และภายในชั้นสามยังมีห้องช้อปปิ้งเล็ก ๆ ไว้สำหรับคนที่อยากสนับสนุนงานฝีมือของดีไซเนอร์รุ่นใหม่ด้วยนะ
และสุดท้ายในชั้นที่สี่ซึ่งเป็นชั้นดาดฟ้า จะเป็นเหมือนกันนำผ้าที่มีลวดลายของทั้งสี่แบรนด์มาจัดสลับสับวางกันเพื่อให้เห็นถึงการรวมพลังของกลุ่มดีไซเนอร์ได้อย่างน่าสนใจมาก ๆ ใครที่หลงใหลในเสน่ห์ของงานเย็บ ปัก บาติก งานพิมพ์ลาย เทคนิคการกัดสี ปั๊มเทียนแนะนำว่าไม่ควรพลาดเลย
📍HAAN Studio
ถ้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศชิล ๆ มาชมแสงสีสวย ๆ เราขอชวนทุกคนมาเดินเล่นที่ HAAN Studio สตูดิโอทำงานของ ดิว-สุรเชษฐ์ สุกุมลนันทน์ ศิลปินนักออกแบบชาวไทยที่เปิดสตูดิโอให้เราได้มาชมงานศิลปะจัดวางเชิงประสบการณ์ที่นำแสงไฟนีออนและพื้นผิวสะท้อนแสงของ ไจลส์ ไรเดอร์ ศิลปินชาวออสเตรเลีย กับการชวนผู้ชมไปสำรวจแนวคิดผ่านหลอดไฟที่มีประจุไฟฟ้า เพื่อสำรวจความต่างของโลกยุคดิจิทัลและโลกวัตถุ




